มลพิษทางเสียงที่เราไม่ควรมองข้าม
ณ สถานการณ์ปัจจุบันเริ่มต้นปี พ.ศ. 2568 ประเทศไทยประสบปัญหาจากมลพิษทางอากาศ หรือปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด แต่หากกล่าวถึงภัยเงียบที่ผู้คนส่วนใหญ่ละเลยคือปัญหามลพิษทางเสียง จากรายงานสถานการณ์คนพิการในประเทศไทยเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ของกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พบว่าจำนวนผู้พิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมายเป็นความบกพร่องอันดับ 2 รองจากความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกายซึ่งมาเป็นอับดับ 1 แต่ไม่ได้รับรองว่าความพิการทางการได้ยินเกิดจากการได้รับเสียงดังที่เกินมาตรฐานเสมอไป สาเหตุอาจเนื่องมาจากหลายๆ ปัจจัย เช่น พันธุกรรม โรคภัยไข้เจ็บ ความสูงวัย สิ่งแวดล้อมในการทำงาน หรือพฤติกรรมที่ชอบฟังเพลงที่มีเสียงดังมากไป เป็นต้น อย่างไรก็ตามเราควรตระหนักถึงมลพิษทางเสียงที่เราได้รับเสียงสะสมตลอดเวลาเพื่อให้สุขภาพทางการได้ยินปลอดภัย ไม่เกิดภาวะหูหนวก หรือหูตึงก่อนวัยอันควร
แล้วเสียงระดับใดบ้างที่ควรหลีกเลี่ยง!!! มาดูตัวเลขที่กฎหมายกำหนดกันค่ะ
- ค่าระดับเสียงสูงสุด ไม่เกิน 115 เดซิเบลเอ (dBA)
- ค่าระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 70 เดซิเบลเอ (dBA)
- ค่าระดับเสียงรบกวนไม่เกิน 10 เดซิเบลเอ (dBA)
ทั้งนี้การตรวจวัดเสียงรบกวนต้องเป็นไปตามประกาศของกรมควบคุมมลพิษ
- ระดับเสียงเฉลี่ยตลอดเวลาการทำงาน 8 ชั่วโมง/วันไม่เกิน 85 เดซิเบลเอ (dBA)
ตัวอย่างค่าระดับเสียงบางส่วนที่เราควรรับรู้และหลีกเลี่ยง แต่อาจมีคำถามว่า
“อ้าวแล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อไม่มีเครื่องวัดเสียง” ก็แนะนำให้ลงแอพพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับการวัดเสียงที่มีในโทรศัพท์มือถือของแต่ละท่านไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการแอนด์ดรอย์ (Android) หรือไอโอเอส (ios) พอช่วยให้เราตัดสินใจหรือหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีเสียงดัง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพของหูเราได้ในอนาคต แต่หากหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดเสียงดังไม่ได้ ก็ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกัน ซึ่งมีหลากหลายประเภท เช่น ปลั๊กลดเสียง (ear plug) หรือครอบหูลดเสียง (ear muff) เป็นต้น ซึ่งสามารถลดระดับเสียงดังที่เกิดขึ้นได้ถึงร้อยละ 25 - 70
เขียน / เรียบเรียงเรื่องโดย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์วันทิตา ปาลิเอกวุฒิ สาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
จัดทำโดย: นางสาวดารุณี เวียงแกสินทรัพย์
แหล่งที่มา/เอกสารอ้างอิง: กรมควบคุมมลพิษ “กฎหมายและมาตรฐาน” https://www.pcd.go.th/laws