น้ำลด…แต่ “ขยะ” ยังอยู่

อุทกภัยไม่ได้สร้างผลกระทบเพียงน้ำท่วมบ้านเรือน ถนนหนทาง หรือโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ทันทีที่น้ำเริ่มลดปัญหาใหญ่ที่โผล่ขึ้นมาพร้อมกันคือ “ขยะและซากสิ่งของจำนวนมหาศาล” ทั้งโคลนตม เศษซากวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ขยะอันตราย และซากสัตว์ต่าง ๆ หากไม่มีการจัดการที่ดี จะกลายเป็นแหล่งแพร่โรค ทำให้น้ำและดินปนเปื้อน และยืดระยะเวลาการฟื้นฟูชุมชนออกไปอย่างมาก ดังนั้น การวางระบบ “จัดการขยะหลังอุทกภัย” จึงเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการภัยพิบัติที่ต้องวางแผนตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังน้ำลดอย่างเป็นระบบ หลังน้ำท่วม ขยะที่เกิดขึ้นมักมีปริมาณมากกว่าปกติหลายเท่า และมีองค์ประกอบหลากหลาย ดังนี้
- ขยะมูลฝอยชุมชนทั่วไป เศษอาหาร บรรจุภัณฑ์ ถุงพลาสติก ผ้าอ้อมอนามัย ฯลฯ มักปนเปื้อนโคลนและน้ำเสีย ทำให้เน่าเสียเร็ว มีแมลงวัน หนู และกลิ่นเหม็นรุนแรง
- เศษซากวัสดุก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน เศษปูน อิฐ ไม้ เหล็ก กระเบื้อง หลังคา ผนังบ้านที่พัง บางส่วนสามารถคัดแยกไปรีไซเคิลหรือใช้ถมที่ได้ หากมีการจัดการที่ดี
- ของใช้ในบ้านที่เสียหาย เฟอร์นิเจอร์ ไม้ อัด แผ่นยิปซัม พรม ที่นอน เสื้อผ้า ตู้ โต๊ะเก้าอี้ เครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ตู้เย็น ทีวี พัดลม เครื่องซักผ้า ที่เสียหายจากการถูกน้ำท่วม
- ขยะอันตรายจากครัวเรือน น้ำยาทำความสะอาดเข้มข้น สี ทินเนอร์ สารฆ่าแมลง น้ำมันเครื่อง แบตเตอรี่ ยาเสื่อมสภาพ หลอดไฟ ฯลฯ หากทิ้งรวมกับขยะทั่วไปจะเสี่ยงต่อการรั่วไหลปนเปื้อนดิน น้ำ และเป็นอันตรายต่อผู้เก็บขน
- ขยะติดเชื้อและขยะทางการแพทย์ จากศูนย์พักพิง โรงพยาบาล คลินิก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เช่น สำลีเปื้อนเลือด เข็มฉีดยา หน้ากากอนามัย ต้องมีระบบ เก็บขน และกำจัดเฉพาะ แยกจากขยะทั่วไป
- ซากสัตว์และซากพืชปริมาณมาก ซากสัตว์เลี้ยง ปศุสัตว์ ปลา ฯลฯ รวมถึงต้นไม้หักล้ม หากจัดการไม่ถูกต้องจะเน่าเหม็น และเป็นแหล่งโรคติดเชื้อ
![]() |
![]() |
แนวทางการจัดการขยะหลังอุทกภัย
- ระยะตอบสนองเร่งด่วน (ทันทีหลังน้ำลด–ประมาณ 1 เดือน)
- กำหนดจุดรวบรวมขยะชั่วคราว (Temporary Storage Site: TSS) เลือกพื้นที่สูง น้ำไม่ท่วมซ้ำ อยู่ห่างบ้านเรือนและแหล่งน้ำ เตรียมทางเข้า–ออกให้รถขยะและเครื่องจักรกลสามารถเข้าถึงได้สะดวก
- จัดระบบคัดแยกขั้นต้นที่ชัดเจน
- เพิ่มความถี่การเก็บขยะและกำจัดจุดเสี่ยง เน้นเก็บขยะบริเวณที่อยู่อาศัย ศูนย์พักพิง โรงเรียน ตลาด ก่อน เก็บซากสัตว์และเศษอาหารเน่าเสียอย่างรวดเร็ว เพื่อลดกลิ่นและแมลง
- การป้องกันความเสี่ยงของคนงานเก็บขยะ
- ระยะฟื้นฟู (ประมาณ 1–6 เดือนหลังน้ำลด)
- ฟื้นฟูระบบจัดการขยะประจำวันควบคู่ไปกับขยะจากภัยพิบัติ ซ่อมแซม/เปิดใช้สถานที่ฝังกลบหรือเตาเผาที่เสียหาย ปรับตารางวิ่งรถขยะให้รองรับปริมาณขยะส่วนเกินจากน้ำท่วม
- จัดการขยะอันตรายอย่างเป็นระบบ ตั้งจุดรับคืนหรือจุด drop-off สำหรับสี ทินเนอร์ น้ำมันเครื่อง แบตเตอรี่ ยา ฯลฯ ประสานหน่วยงานที่มีศักยภาพกำจัดขยะอันตราย เช่น ศูนย์กำจัดของเสียอันตราย เอกชนที่ได้รับอนุญาต
- รีไซเคิลและใช้ประโยชน์จากเศษซากให้มากที่สุด เศษโลหะ ไม้ และวัสดุก่อสร้างบางส่วนสามารถ
รีไซเคิลหรือใช้ถมที่ได้ ส่งเสริมให้เอกชนหรือช่างท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมเก็บและคัดแยกเศษวัสดุเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ - การสื่อสารสาธารณะและการให้ความรู้ ประชาสัมพันธ์แนวทางคัดแยกขยะหลังน้ำท่วมผ่านหอกระจายข่าว วิทยุชุมชน สื่อออนไลน์ของ อปท. จัดทีมอาสาสมัครหรือเยาวชนช่วยลงพื้นที่สาธิตการแยกขยะและชี้ตำแหน่งจุดทิ้งที่ถูกต้อง
- ระยะป้องกันและเตรียมพร้อมระยะยาว
- จัดทำ “แผนจัดการขยะจากภัยพิบัติ” ระดับท้องถิ่น/จังหวัด กำหนดขั้นตอนการรับมือ ชัดเจนว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เตรียมล่วงหน้าเรื่องจุดเก็บชั่วคราว เส้นทางรถขยะ สถานที่กำจัดสำรอง
- เสริมศักยภาพบุคลากรและทรัพยากร ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ อปท. และอาสาสมัครเรื่องการจัดการขยะในภาวะฉุกเฉิน ทำสัญญา/บันทึกข้อตกลงกับภาคเอกชน (รถเก็บขยะ เครื่องจักรกล โรงงานรีไซเคิล) เพื่อใช้ในภาวะวิกฤต
- บูรณาการกับผังเมืองและมาตรการลดความเปราะบาง หลีกเลี่ยงการให้ก่อสร้างอาคารหรือสถานที่สำคัญในเขตน้ำท่วมซ้ำซาก ใช้แนวคิด “เมืองจัดการน้ำดี–ขยะดี” เช่น การเคลียร์ท่อระบายน้ำอย่างสม่ำเสมอ ลดขยะอุดตันท่อ เพื่อลดความเสี่ยง น้ำท่วมในอนาคต
หลังอุทกภัย ปัญหา “ขยะ” เป็นโจทย์สำคัญที่ต้องจัดการควบคู่ไปกับการซ่อมแซมบ้านเรือนและโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการที่ดีต้องเริ่มจากการรู้เท่าทันชนิดของขยะ ผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม วางระบบเก็บ–ขน–กำจัดที่เหมาะสมในแต่ละระยะ และเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม
หากเราสามารถเปลี่ยนการจัดการขยะหลังน้ำท่วมจาก “การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า” มาเป็น “ส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ฟื้นฟูและพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน” ได้ อุทกภัยครั้งต่อไปแม้อาจเลี่ยงไม่พ้น แต่ความเสียหาย ความเสี่ยงต่อสุขภาพ และภาระด้านสิ่งแวดล้อมจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

แหล่งที่มา / เอกสารอ้างอิง:
- กรมควบคุมมลพิษ. (2563). แนวทางการจัดการขยะมูลฝอยในภาวะอุทกภัย. กรุงเทพฯ: กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม.
- กรมควบคุมมลพิษ. (ม.ป.ป.). การจัดการขยะมูลฝอยในสภาวะอุทกภัย. เอกสารเผยแพร่สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการวางแผนเก็บ–ขน–กำจัดขยะในช่วงก่อนน้ำท่วม ระหว่างน้ำท่วม และหลังน้ำลด.
- กรมควบคุมมลพิษ. (2566). ช่วงหน้าฝน เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม จะมีวิธีการจัดการขยะมูลฝอยในสภาวะอุทกภัยได้อย่างไร (อินโฟกราฟิกเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์).
- กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2568). แนวทางการจัดการขยะหลังเกิดอุทกภัย (สื่ออินโฟกราฟิกประชาสัมพันธ์การคัดแยกและรวบรวมขยะหลังน้ำท่วมเพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพ).
- Srisatit, T., & Khuysangiam, S. (2012). Integrated Solid Waste Management Disaster Guidance (Case Study: Mega Flood in Thailand, 2011). Faculty of Engineering, Chulalongkorn University.
- National Institute for Environmental Studies (NIES). (2015). Flood Waste Management Guidelines for Bangkok.
เรียบเรียงเรื่องโดย:
ผศ.ภัทรมาศ เทียมเงิน อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ศูนย์นนทบุรี
จัดทำโดย:
นางสาวดารุณี เวียงแกสินทรัพย์

.png)